๒๒. นิทาน
เรื่อง พระจูฬปันถกแสดงปาฎิหารย์
๐ มีนิทานนานสุดครั้งพุทธกาล เป็นนิทานเรื่องจริงทุกสิ่งสรรพ์
เมื่อพระพุทธองค์ทรงชีวัน อยู่เขตขัณฑ์ราชคฤห์มหานคร
ประทับวัดอัมพวันอันมีศรี ซึ่งเศรษฐีสร้างโตสโมสร
อนาถะเศรษฐีนามกร ถวายพระชินกรขจรดัง
คร้ังกระนั้นยังมีเศรษฐีหนึ่ง เกิดซาบซึ้งพระธรรมในความหลัง
เป็นอุบาสถลือมีชื่อดัง หมั่นมาฟังพระธรรมเทศนา
มีหลานชายสองน้ันใจพันผูก ลูกของลูกสาวศรีอันมีหน้า
ท่านเศรษฐีสำคัญจึงหม่ั่นพา สองหลานมาฟังธรรมประจำวัน
หลานคนโตชื่อว่า"มหาปันถก" เศรษฐียกว่าฉลาดองอาจนั่น
น้ำใจซื่อถือสัตย์น่าอัศจรรย์ มีศีลธรรม์จำมั่นภาวนา
ขออนุญาติเศรษฐีผู้มีทรัพย์ ว่าตาครับผมมาดปรารถนา
อยากจะออกบวชเณรนั้นบรรพชา ฟังหลานว่าเศรษฐีก็ดีใจ
จึงพาไปอัมพวันในทันที เข้าเฝ้าพระชินสีห์ทรงปราศรัย
ทรงถามเด็กน้อยนั้นโดยทันใด เด็กก็ได้ยืนยันโดยมั่นคง
จึงมอบให้พระสงฆ์อีกองค์หนึ่ง เป็นที่พึ่งเด็กนั้นพลันประสงค์
โกนเกศาเด็กน้ันโดยบรรจง บวชเป็นองค์เณรน้อยเรียบร้อยดี
สอนให้ว่าปัญจกะกรรมฐาน วิธีการจำศีลพระชินสีห์
ว่า "เกสา,โลมา, นขา"มี "ทันตา"สี่ที่ห้าว่า "ตะโจ"
เณรมหาปันถกก็ยกย่อง โดยหมั่นท่องภาวนาเป็นนาโถ
หมั่นฟังคำบริสุทธิ์พระพุทโธ จนเติบโตบวชองค์เป็นสงฆ์ดี
จนลุพระโสดาปัตติผล บำเพ็ญตนภาวนาตามหน้าที่
บรรลุพระสกทาคามี เป็นมุนีพระอนาคามิโก
จนลุพระอรหัตต์ตัดกิเลส อุดมเพศพรหมจรรย์อันสุโข
เป็นสาวกบริสุทธิ์แห่งพทุโธ เป็นสังโฆมีชื่อเลื่องลือดัง
จึงคิดถึงน้องชายหมายอุุดหนุน นาม "จูฬปันถก"วิตกหวัง
ให้สำเร็จอรหันต์อนันตัง ข้ามถึงฝั่งพระนิพพานสำราญใจ
ขออนุญาตคุณตามหาเศรษฐี ก็ยินดีอนุญาตสิทธิ์ขาดให้
จึงบวชน้องน้ันโดยทันใด แล้วบอกให้ภาวนาคาถาดี
"ปัทมัง ยะถา โกกมุทัง" คาถาดังปรากฎมีบทสี่
ท่องอยู่สี่เดือนขาดบาทบาลี ก็ไม่มีปัญญาจะว่าเลย
มหาจูฬปันถกหนักอกยิ่ง ช่างโง่จริงน่าอายน้องชายเอ๋ย
เราหมดบุญหนุนอยู่ไม่คู่เคย อย่าอยู่เลยไปไหนก็ไปเชิญ
ฝ่ายพระจูฬปันถกนึกตกใจ ถูกพี่ไล่พี่ตัดจึงขัดเขิน
นอนระลึกตรึกไปอายใจเกิน จึงลุกเดินแต่ดึกคิดสึกพลัน
พระพุทธองค์ทรงทอดสอดพระญาณ เพื่อโปรดปรานสัตว์รอบขอบเขตขัณฑ์
ทราบว่าพระจูฬปันถกวิตกครัน จะถลันลาสึกแต่ดึกแล้ว
ภิกษุนี้มีบุญมาหนุนส่ง บวชเป็นสงฆ์สมปองจะผ่องแผ้ว
สอนไม่ต้องกับจริตดูผิดแนว จึงสอดแคล้วกับจริตจนผิดไป
จึงเสด็จไปสู่ประตูพลัน ประตูวัดอัมพวันอันกว้างใหญ่
ขวางหน้าจูฬปันถกเดินวกไว ทรงปราศรัยด้วยพระกรุณา
ทรงเนรมิตผ้าขาวยาวหนึ่งคืบ ด้านกว้างสืบสักศอกยื่นออกว่า
จงรับผ้าขาวนี้มีราคา ตามเรามานั่งหน้าสระวารี
พระจูฬปันถกตระหนกตกประหม่า พระศาสดาเมตตาเราเต็มที่
เดินตามต้อยนอบน้อมพระจอมมุนี พระทรงชี้ให้ดูทิศบูรพา
ทรงบอกมนต์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดสั้น ว่าให้หมั่นท่องบ่นมนต์คาถา
"ระโชหะระณัง"ภาวนา ให้ลูบผ้าขาวขาวบ่นท่่องมนต์ไป
วันนั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านได้จัดทำทานเป็นการใหญ่
นิมนต์สงฆ์ห้าร้อยใช่น้อยไซร้ ให้เข้าไปรับทานที่บ้านตน
มหาจูปันถกสาวกใหญ่ เที่ยวบอกให้สงฆ์เพื่อนที่เกลื่อนกล่น
ไปฉันบ้านหมอใหญ่ในตำบล แต่น้องคนหนึ่งเว้นไม่เห็นตัว
นึกว่าไปลาสึกแต่ดึกดื่น เห็นเดินจรค่อนคืนไม่เห็นหัว
พระห้าร้อยล้อมรอบเหมือนครอบครัว นิมิตรทั่วทุกองค์ด้วยจงใจ
เมื่อหมอโกมารภัจจ์จัดอาหาร ถวายทานพระพุทธผู้เป็นใหญ่
แต่พระองค์ทรงระงับไม่รับไว้ ตรัสถามไปแก่หมอที่รอฟัง
ว่าพระในอัมพวันนั้นยังมี ไม่ถ้วนถี่ยังมีอยู่ข้างหลัง
มหาจูฬปันถกสาวกดัง ซึ่งมานั่่งใกล้นั้นทูลทันที
มาหมดแล้ววัดเราพระเจ้าข้า มาครบหน้าพร้อมหมู่อยู่ที่นี่
พระตรัสว่าข้างหลังนั้นยังมี ไปดูซีชีวกยังตกค้าง
หมอชีวกใช้คนของตนไป ดูพระในวัดที่ยังมีบ้าง
ระหว่างที่คนใช้ได้เดินทาง วัดสว่างโร่เรืองผ้าเหลืองพราว
พระจูฬปันถกวิตกตรึก จนรู้สึกจิตสว่างกระจ่างขาว
พระพุทธองค์มาเยือนเหมือนเดือนดาว พร้อมกับกล่าวสอนธรรมชื่นฉ่ำใจ
ว่าดุก่อนจูฬปันถกวิตกตรึก เธออย่านึกแต่ว่าผ้าผ่องใส
ยังเปื้อนผงธุลีคลุกคลีไป เป็นปัจจัยด่างดำธรรมดา
ใจของเธอก็มีธุลีอยู่ จงแลดูกิเลสและตัณหา
คือราคะธูลีก็มีมา ยังแน่นหนาอยู่ในดวงใจเรา
อันโทสะธุลีก็มีอยู่ จงตรึกตรองมองดุให้รุ้เท่า
อันโมหะธุลีมิใช่เบา ยังเมามัวใจอยู่ทุกครู่ยาม
จงชำระธุลีมีกำหนด จงละลดธุลีมีทั้งสาม
พระจูฬปันถกต้องตรึกตรองตาม สว่างวามปรุโปร่งจนโล่งใจ
สำเร็จพระอรหันต์ตัดกิเลส เข้าสู่เพศบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
ปฎิสัมภิททาญาณตระการไกล สำแดงฤทธาได้ด้วยด้วยบุญญา
ทราบว่าพระพี่ชายมั่นหมายจิต เราเป็นทิดทรงเครื่องเปลื้องกาสาว์
ว่าหมดพระประจำไม่นำพา เราจะปรากฎกายเป็นหลายองค์
แล้วเข้าฌานสมาบัติโดยอัศจรรย์ เป็นพระพันหนึ่งตามความประสงค์
กระทำกิจต่างกันโดยมั่นคง เหลืองเต็มดงอัมพวันวนาราม
คนไช้หมอชีวกก็ตกใจ เมื่อเข้าไปเห็นพระเหลืองอร่าม
ถามหาพระสงฆ์ที่ท่านมีนาม จูฬปันถกขอถามว่าองค์ใด
พระทั้งนั้นพันองค์ตอบตรงกัน ตอบว่าฉันจูฬปันถกใช่ใครไหน
คนไช้หมอชีวกนึกตกใจ จึงกลับไปหานายแล้วรายงาน
พระพุทธองค์สำทับให้กลับไป ถ้าองค์ใดพูดจาอย่าว่าขาน
พอตอบปั๊ปจับมาอย่าช้านาน พระเต็มลานวัดนั้นจะพลันลับ
คนไช้หมอชีวกวิ่งหยกไป คว้ามือได้เมื่อถามตามลำดับ
มาเฝ้าพระพุทธองค์ก็ทรงรับ ว่าไปจับพระดีชั้นมีฤทธิ์
เมื่อฉันภัตตาหารในงานเสร็จ จะเสด็จกลับชอบก็มอบสิทธิ์
ให้พระจูฬปันถกสงฆ์องค์น้อยนิด กล่าวภาษิตโมทนาว่าสัพพี
พระจูฬปันถกกล่าวยืนยาวพจน์ อรรถรสธรรมเลิศประเสริฐศรี
จึงพระสงฆ์ทั้งนั้นรู้ทันที ว่าท่านนี้เป็นชั้นอรหันตา
ครั้นกลับวัดอัมพวันวันน้ันแล้ว จึงผ่องแผ้วห้อมล้อมเข้าพร้อมหน้า
ถามถึงบุญปางก่อนที่ย้อนมา พระศาสดาจึงเล่าให้เข้าใจ
เป็นนิทานชาดกท่านยกมา เทศนาสอนสงฆ์องค์น้อยใหญ่
ว่าคร้ังหนึ่งปางก่อนที่ห่างไกล ในสมัยพระกัสสปะศาสดา
พระจูฬปันถกกำเนิดเกิดสวัสดิ์ เป็นกษัตริย์ทรงธรรม์ล้ำยศถา
เสด็จเลียบพระนครอ่อนอุรา พระพักตราเหงื่อไคลก็ไหลนอง
ทรงหยิบผ้าขาวผ่องประคองพักตร์ เช็ดทั้วสักครู่ใหญ่เหงื่อไคลต้อง
ผ้าขาวดำคร่ำคร่าไม่น่ามอง จึงตรัสร้อง "อนิจจา" หนอผ้าเรา
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแต่ก่อนขาว มาดำราวหม้อใหญ่ถูกไฟเผา
สังขารทั้งหลายนั้นไมบันเทา ไม่เที่ยงแท้แก่เก่าเปื่อยเน่าไป
ได้อนิจสัญญามาแต่ก่อน จึงกลับย้อนมาหนุนเป็นบุญใหม่
เห็นอริยสัจจ์ธรรมชักนำใจ ท่านจึงได้"เจโตวิมุตติ" หลุดโลกีย์
ปฎิสัมภิทาญาณเบิกบานจิต แสดงฤทธิ์ได้เข้มอย่างเต็มที่
คนเดียวเป็นหลายคนได้ผลทวี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวชม
พระมหาปันถกอรหันต์ พี่ชายนั่นฤทธาไม่สาสม
ได้"ปัญญาวิมุติ"หลุดลอยลม ปัญญาคมเหลือดีไม่มีฤทธิ์
แต่พระจูฬปันถกอรหันต์ ปัญญาตันเต็มทีแต่มสิทธิ์
ได้"เจโตวิมุติ"เนรมิต สำแดงอิทธิฤทธิ์จนพี่อาย ฯ (๑๐๖ คำ)
๘ มกราคม ๒๕๓๓
นึกว่าไปลาสึกแต่ดึกดื่น เห็นเดินจรค่อนคืนไม่เห็นหัว
พระห้าร้อยล้อมรอบเหมือนครอบครัว นิมิตรทั่วทุกองค์ด้วยจงใจ
เมื่อหมอโกมารภัจจ์จัดอาหาร ถวายทานพระพุทธผู้เป็นใหญ่
แต่พระองค์ทรงระงับไม่รับไว้ ตรัสถามไปแก่หมอที่รอฟัง
ว่าพระในอัมพวันนั้นยังมี ไม่ถ้วนถี่ยังมีอยู่ข้างหลัง
มหาจูฬปันถกสาวกดัง ซึ่งมานั่่งใกล้นั้นทูลทันที
มาหมดแล้ววัดเราพระเจ้าข้า มาครบหน้าพร้อมหมู่อยู่ที่นี่
พระตรัสว่าข้างหลังนั้นยังมี ไปดูซีชีวกยังตกค้าง
หมอชีวกใช้คนของตนไป ดูพระในวัดที่ยังมีบ้าง
ระหว่างที่คนใช้ได้เดินทาง วัดสว่างโร่เรืองผ้าเหลืองพราว
พระจูฬปันถกวิตกตรึก จนรู้สึกจิตสว่างกระจ่างขาว
พระพุทธองค์มาเยือนเหมือนเดือนดาว พร้อมกับกล่าวสอนธรรมชื่นฉ่ำใจ
ว่าดุก่อนจูฬปันถกวิตกตรึก เธออย่านึกแต่ว่าผ้าผ่องใส
ยังเปื้อนผงธุลีคลุกคลีไป เป็นปัจจัยด่างดำธรรมดา
ใจของเธอก็มีธุลีอยู่ จงแลดูกิเลสและตัณหา
คือราคะธูลีก็มีมา ยังแน่นหนาอยู่ในดวงใจเรา
อันโทสะธุลีก็มีอยู่ จงตรึกตรองมองดุให้รุ้เท่า
อันโมหะธุลีมิใช่เบา ยังเมามัวใจอยู่ทุกครู่ยาม
จงชำระธุลีมีกำหนด จงละลดธุลีมีทั้งสาม
พระจูฬปันถกต้องตรึกตรองตาม สว่างวามปรุโปร่งจนโล่งใจ
สำเร็จพระอรหันต์ตัดกิเลส เข้าสู่เพศบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
ปฎิสัมภิททาญาณตระการไกล สำแดงฤทธาได้ด้วยด้วยบุญญา
ทราบว่าพระพี่ชายมั่นหมายจิต เราเป็นทิดทรงเครื่องเปลื้องกาสาว์
ว่าหมดพระประจำไม่นำพา เราจะปรากฎกายเป็นหลายองค์
แล้วเข้าฌานสมาบัติโดยอัศจรรย์ เป็นพระพันหนึ่งตามความประสงค์
กระทำกิจต่างกันโดยมั่นคง เหลืองเต็มดงอัมพวันวนาราม
คนไช้หมอชีวกก็ตกใจ เมื่อเข้าไปเห็นพระเหลืองอร่าม
ถามหาพระสงฆ์ที่ท่านมีนาม จูฬปันถกขอถามว่าองค์ใด
พระทั้งนั้นพันองค์ตอบตรงกัน ตอบว่าฉันจูฬปันถกใช่ใครไหน
คนไช้หมอชีวกนึกตกใจ จึงกลับไปหานายแล้วรายงาน
พระพุทธองค์สำทับให้กลับไป ถ้าองค์ใดพูดจาอย่าว่าขาน
พอตอบปั๊ปจับมาอย่าช้านาน พระเต็มลานวัดนั้นจะพลันลับ
คนไช้หมอชีวกวิ่งหยกไป คว้ามือได้เมื่อถามตามลำดับ
มาเฝ้าพระพุทธองค์ก็ทรงรับ ว่าไปจับพระดีชั้นมีฤทธิ์
เมื่อฉันภัตตาหารในงานเสร็จ จะเสด็จกลับชอบก็มอบสิทธิ์
ให้พระจูฬปันถกสงฆ์องค์น้อยนิด กล่าวภาษิตโมทนาว่าสัพพี
พระจูฬปันถกกล่าวยืนยาวพจน์ อรรถรสธรรมเลิศประเสริฐศรี
จึงพระสงฆ์ทั้งนั้นรู้ทันที ว่าท่านนี้เป็นชั้นอรหันตา
ครั้นกลับวัดอัมพวันวันน้ันแล้ว จึงผ่องแผ้วห้อมล้อมเข้าพร้อมหน้า
ถามถึงบุญปางก่อนที่ย้อนมา พระศาสดาจึงเล่าให้เข้าใจ
เป็นนิทานชาดกท่านยกมา เทศนาสอนสงฆ์องค์น้อยใหญ่
ว่าคร้ังหนึ่งปางก่อนที่ห่างไกล ในสมัยพระกัสสปะศาสดา
พระจูฬปันถกกำเนิดเกิดสวัสดิ์ เป็นกษัตริย์ทรงธรรม์ล้ำยศถา
เสด็จเลียบพระนครอ่อนอุรา พระพักตราเหงื่อไคลก็ไหลนอง
ทรงหยิบผ้าขาวผ่องประคองพักตร์ เช็ดทั้วสักครู่ใหญ่เหงื่อไคลต้อง
ผ้าขาวดำคร่ำคร่าไม่น่ามอง จึงตรัสร้อง "อนิจจา" หนอผ้าเรา
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแต่ก่อนขาว มาดำราวหม้อใหญ่ถูกไฟเผา
สังขารทั้งหลายนั้นไมบันเทา ไม่เที่ยงแท้แก่เก่าเปื่อยเน่าไป
ได้อนิจสัญญามาแต่ก่อน จึงกลับย้อนมาหนุนเป็นบุญใหม่
เห็นอริยสัจจ์ธรรมชักนำใจ ท่านจึงได้"เจโตวิมุตติ" หลุดโลกีย์
ปฎิสัมภิทาญาณเบิกบานจิต แสดงฤทธิ์ได้เข้มอย่างเต็มที่
คนเดียวเป็นหลายคนได้ผลทวี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวชม
พระมหาปันถกอรหันต์ พี่ชายนั่นฤทธาไม่สาสม
ได้"ปัญญาวิมุติ"หลุดลอยลม ปัญญาคมเหลือดีไม่มีฤทธิ์
แต่พระจูฬปันถกอรหันต์ ปัญญาตันเต็มทีแต่มสิทธิ์
ได้"เจโตวิมุติ"เนรมิต สำแดงอิทธิฤทธิ์จนพี่อาย ฯ (๑๐๖ คำ)
๘ มกราคม ๒๕๓๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น