๒๓.นิทาน
เรื่อง กาถูกไฟไหม้กลางอากาศ
๐ มีนิทานนานสุดครั้งพุทธกาล เป็นนิทานเรื่องจริงทุกสิ่งสม
เมื่อสัมมาสัมพุทธโคคม เป็นบรมนักปราชญ์ศาสดา
พระสาวกพร้อมหนาในอาราม ล้วนงดงามทั้งสิ้นศีลสิกขา
จำวัดอยู่เป็นสุขทุกเวลา อยู่ในป่าผ่องแผ้วป่าแก้วกานต์
วันหนึ่งได้เวลาตอนฟ้าสาง พระสงฆ์ต่างยาตราหาอาหาร
บิณฑบาตเยี่ยมเยือนตามเรือนชาน รับไทยทานเขาถวายตามรายทาง
ถึงบ้านหนึ่งน้ันไฟเกิดไหม้บ้าน แสงไฟแรงแดงฉานโชติสว่าง
เสียงระเบิดดังปังฟังสะท้าน เสวียนหม้อควงสว่านลุกเป็นไฟ
ลอยขึ้นไปลุกสว่างอยู่กลางอากาศ กาดำผาดบินถาเข้ามาใกล้
เสวียนหม้อก็คาคอกาไป ไฟลุกไหม้กาตายวายชีวา
หมู่พระสงฆ์รู้สึกนึกอัศจรรย์ ว่ากานั้นกรรมบังกระมังหนา
บินอยุ่ในอากาศยังผาดมา เอาคอคาเสวียนหม้อมรณัง
เมื่อกลับพระอารามความสงสัย จึงเข้าไปเล่าเรื่องแต่เบื่้องหลัง
ให้ทูลกระหม่อมจอมสงฆ์ได้ทรงฟัง พระจึงสั่งสนทนาสาธยาย
ว่าครั้งหนึ่งนานนับเป็นกัปกัลป์ เจ้ากานั้นเกิดดีมีความหมาย
เป็นชาวนาไถนากระทาชาย แกเลี้ยงควายไถนาชรากาย
ลากไถแล้วล้มลุกลงคลุกคลาน หมดแรงกายทำการงานทั้งหลาาย
ทรุดลงนอนอ่อนแรงในแปลงควาย ชาวนานายนึกโกรธใจโหดนัก
เอาเชือกมาผูกควายท้ังซ้ายขวา เอาฟางมาสุมไว้เอาไม้ปัก
แล้วจุดไฟเผาควายจนตายชัก เพื่อตัวจักแล่เนื้อมาเถือกิน
เมื่อชาวนาฆ่าควายตายลำบาก ตนก็จากตายลับไปดับดิ้น
ตกนรกไหม้มาเป็นอาจิณ เป็นปักษิณเกิดมาเป็นกาดำ
ถึงชาตินี้เป็นกาบินอากาศ ก็ไม่อาจหนีเวรเกณฑ์กระหน่ำ
บุคคลทำกรรมไว้ต้องใช้กรรม จะดำน้ำบินได้ก็ไม่พ้น
ทำกรรมไว้ในศาสนาพระกัสสปะ นานสุดจะคำนวณนับแสนสับสน
ถึงเกิดมาเป็นกาเข้าตาจน ยังทุรนรับกรรมที่ทำไว้
จะดำน้ำดำดินบินอากาศ ก็ไม่อาจหนีกรรมที่ทำได้
ต้องรับกรรมของตนทุกคนไป ไม่มีใครหนีจากวิบากกรรม ฯ (๒๘ คำ)
๘ มกราคม ๒๕๓๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น