วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

๒๑. นิทานเรื่องนางสามาวดีถูกไฟคลอกตาย


๒๑ นิทาน
เรื่อง นางสามาวดีถูกไฟคลอกตาย

     ๐ มีนิทานนานสุดคร้ังพุทธกาล          เป็นนิทานเรื่องจริงทุกสิ่งศรี
เมื่อพระทูลกระหม่อมจอมมุนี                  อยู่กรุงโกสัมพีศรีนคร
มีพระเจ้าอุเทนราชกษัตรา                      ครองพาราอยู่ในสมัยก่อน
มเหสีสององค์อรชร                                พร้อมสมรนักสนมกรมใน
มเหสีฝ่ายขวาสามาวดี                            ทรงธรรมมีธรรมครองแสนผ่องใส
บรรลุโสดาบันมั่นพระทัย                        บาปกรรมใดมิข้องแตะต้องทำ
เป็นที่รักของบรรดาชายาอื่น                   อันดาษดื่นเข้าเฝ้าทุกเช้าค่ำ
มเหสีฝ่ายซ้ายผู้ใจดำ                             แม่งามขำนางน้ันชื่อมาคันทิยา*
เห็นสามาวดีเป็นที่โปรด                         นางก็โกรธเคืองคิดริษยา
คอยทูลลับจับผิดเป็นนิตย์มา                 พระราชามั่นคงไม่ทรงฟัง
ขั้นสุดท้ายหมายมาดพิฆาตชีพ             โดยเร่งรีบคิดร้ายในภายหลัง
เอาเพลิงเผาปราสาทราชวัง                   จนกระทั่งสามาพิราลัย
พร้อมสนมกรมในอีกหลายร้อย              ทั้งใหญ่น้อยที่พักตำหนักใหญ่
พระเจ้าอุเทนราชแทบขาดใจ                 เพราะรักใครนักหนาสามาวดี
จึงสอบสวนทวนพยานสืบควานหา         พวกผู้ร้ายใจกล้ากว่ายักษี
ทราบว่ามาคันทิยาแน่งนารี                     วางอัคคีเผาฆ่าชายารัก
จึงประหารผลาญชนม์นางคนสวย           ให้ตายด้วยทัณฑ์โทษที่โหดหนัก
เอาฟางสุมคลุุมร่างของนางยักษ์             แล้วจุดอัคคีให้โหมไหม้โรมแรง
ให้ตายตกตามกันเช่นน้ันด้วย                  ให้นางม้วยด้วยไฟมิใช่แกล้ง
เพื่อให้กรรมหนักนั้นพลันสำแดง             ให้คนแหยงไม่ทำบาปกรรมร้าย
เรื่องไฟไหม้ปราสาทร้ายกาจเหลือ         ไม่นาเชื่อกรรมอะไรน่าใจหาย
นางก็เป็นโสดามาอันตราย                      สงฆ์ทั้งหลายนั่งบ่นสนทนา
บ้างสงสัยโสดาบุญราศี                           นางสามาวดีมีหนักหนา
ไม่ป้องกันคนบาปที่หยาบช้า                   มาตามฆ่าให้ตายวายชีวี
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องบาปกล้า      นางสามาวดีเคยมีนั่น
จึงได้ทรงเล่าเรื่องสืบเนื่องกัน                 ให้สงฆ์ฟังทั้งน้ันนมนานมา
คร้ังพระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์กล้า            ครองพาราณสีมีวาสนา
มีชายาร้อยนางสำอางตา                         เล่นธาราสดชื่นรื่นเริงใจ
ขึ้่นจากน้ำนางสาวก็หนาวสั่น                   จึงพากันก่อเพลิงเถกิงไหม้
พวกเหล่าสาวนักสนมกรมใน                   นั่งพิงไฟแก้หนาวในคราวนั้น
ไฟไหม้ลุกลามป่าหญ้าคาแห้ง                 โชติช่วงแรงลมกล้าจนป่าลั่น
ไฟไหม้พระปัจเจกพุทธสุดสำคัญ             ซึ่งปลงขันธ์เข้าฌานสำราญกาย
ด้วยเดชฌานภาวนาสมาบัติ                      จึงป้องปัดไฟได้ดั่งใจหมาย
ร่างกายไม่ไหม้วอดลงวอดวาย                 จึงไม่ตายด้วยไฟในคร้ังน้ัน
มเหสีพรหมทัตกษัตริย์ศรี                         เกรงจะมีอาญาถึงอาสัญ
จึงหาฟืนสุมทั่วท่วมหัวพลัน                      แล้วช่วยกันจุดไฟให้ไหม้โพลง
คร้ันจุดไฟติดดีก็หนีกลับ                           ถึงไฟดับก็หมายว่าตายโหง
คงไม่เหลือเนื้อดีและซี่โครง                      ควันโขมงอยุ่น้ันต้องพลันตาย
ด้วยเจตนาเผาพระอรหันต์                        ปัจเจกพทุธเจ้านั้นดังมั่นหมาย
จึงต้องตกนรกในใต้อบาย                         ชาติสุดท้ายเกิดมาสามาวดี
ต้องถูกไฟไหม้ครอกเพราะบอกเหต         เพราะอาเพศบาปน้ันมาทันที่
ถึงจะเป็นโสดาอนาคามี                            ไม่อาจหนีกรรมใหญ่ในชีวิต    (๔๒ คำ)


                                                                      ๖   มกราคม  ๒๕๓๓


*  นางมาคันทิยา  เป็นธิดาเศรษฐี  พ่อแม่จะยกให้พระพุทธเจ้า  แต่ตรัสว่า "ปาทาปิมัง  สัมผุสสิยา นะอิจเฉ" (แม้เท้าของเรา ก็ไม่อยากแตะต้องเธอ)  นางจึงผูกโกรธ เที่ยวด่าว่าพระพุทธเจ้าอยุ่ ๗ วัน บาปกรรมน้ันจึงถูกเผาทั้งเป็น  
      


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น